วันพฤหัสบดีที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

การเข้าสาย LAN

การเข้าสาย LAN การเข้าหัวสาย UTP นั้นมีอยู่สองมาตรฐานที่ได้กำหนดไว้คือ TIA/EIA 568A และ 568B ส่วนรายละเอียดเกี่ยวกับการเรียงลำดับสายจะแสดงดังตารางและรูปด้านล่าง


ข่าวด้านไอที

นายกว้าน สีตะธนี รองผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ หรือ เนคเทค ในฐานะเป็นประธานฯ กล่าวว่า เนคเทค ได้ร่วมมือกับริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย จำกัด จัดอบรมหลักสูตร Linux Internal ในระหว่างวันที่ 23-27 มิถุนายน 2551 เพื่อยกระดับนักพัฒนาซอฟต์แวร์ ลินุกซ์ในประเทศไทยให้สามารถมีส่วนร่วมพัฒนาระบบปฏิบัติการในระดับที่สูงขึ้น รวมทั้งสร้างความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในการพัฒนามากยิ่งขึ้น โดยเชิญวิทยากร Mr.Srivatsa Vaddagiri และ Mr.Bharata B Rao เชี่ยวชาญด้านโปรแกรมบนลินุกซ์ จากประเทศอินเดีย พร้อมทั้ง Mr.Hugh D Miller ตัวแทนจากศูนย์ IBM ลินุกซ์ เทคโนโลยี เข้าร่วมบรรยาย ทั้งนี้มีเข้าอบรมอบรมหลักสูตร Linux Internal โดยเป็นบุคลากรจากภาครัฐและเอกชน อาจารย์มหาวิทยาลัย รวมทั้งสิ้น 55 คน
รองผอ. เนคเทค กล่าวต่อว่า ปัจจุบันการพัฒนาลินุกซ์ในประเทศไทยจะเป็นการปรับแต่งส่วนติดต่อผู้ใช้ (interface)ส่วนติดตั้ง (installer) และการแสดงผลรวมถึงภาษาถิ่น (Localization) เป็นหลัก ขณะที่ซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการหรือส่วนติดต่ออุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ต่างๆ ไม่ได้มีการพัฒนาเพิ่มเติมจากฝั่งของประเทศไทย ทั้งนี้เนื่องจากความรู้และประสบการณ์ในการแก้ไขปรับแต่งตัวระบบปฏิบัติการ (Kernel)หรือส่วนติดต่อฮาร์ดแวร์ (Driver) นั้น จึงทำให้นักพัฒนาไทยมีน้อยมาก ดังนั้นการจัดการฝึกอบรมดังกล่าว จึงเป็นการส่งเสริมการพัฒนาซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สให้แพร่หลาย

ข้อสอบ

1 .อีเทอร์เน็ตถูกพัฒนาขึ้นโดยบริษัทใด
ก.Xeoxr
ข.Xexor
ค.Xerox
ง.Xeorx

2. อีเทอร์เน็ตได้พัฒนามาจากรากฐานบนเครือข่ายแบบใด
ก. Packet
ข. Radio
ค. Packet Radio
ง. Bus

3. อีเทอร์เน็ตมีความเร็วในการถ่ายข้อมูลครั้งแรกกี่เมกกะบิตต่อวินาที
ก. 1 เมกะบิตต่อวินาที
ข. 2 เมกะบิตต่อวินาที
ค. 3 เมกะบิตต่อวินาที
ง. 4 เมกะบิตต่อวินาที

4. การนำเสนอข้อมูลออกเป็นส่วนๆเรียกว่าอะไร
ก. แพกกิ้ง
ข. แพกก้า
ค. แพกเก็ต
ง. แพกเกต

5. อีเทอร์เน็ตใช้วิธีการส่งสัณญาณแบบใด
ก. เบสแบนด์
ข .บอยแบนด์
ค. เบิร์นแบนด์
ง.แบนด์

6. ฟาส์ตอีเทอรร์เน็ตเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าอะไร
ก. อีเทอร์เน็ตความเร็วต่ำ
ข.อีเทอร์เน็ตความเร็วสูง
ค. อีเทอร์เน็ตความเร็วช้า
ง.อีเทอร์เน็ตความเร็วปกติ

7. ฟาสต์อีเทอร์เน็ตได้ถูกออกแบบมาเพื่อติดตั้งเครือข่ายในรูปแบบใด
ก. ดาว
ข. วงแหวน
ค. กระจาย
ง. ต่อเนื่อง

8. เฟรมอีเทอร์เน็ตขนาดเล็กสุดจะมีความจุที่กี่ไบต์
ก. 72
ข. 75
ค. 85
ง. 82

9. ฟาส์ตอีเทอเน็ตไม่สนับสนุนในการเชื่อมต่อแบบใด
ก. วงแหวน
ข.ดาว
ค.แพกเกต
ง. บัส

10. อีเทอร์เน็ตความเร็วสูงแตกต่างจากอีเทอร์เน็ตอย่างไร
ก. การรับส่งข้อมูล
ข. สายCAT5e
ค. การ์ดเครือข่าย
ง. สายUTP

ข้อสอบปรนัยคำสั่งตรวจซ่อม

1. คำสั่ง Ping ใช้ในการตรวจสอบอะไร
ก. ค่าต่างๆในตัวเครื่อง
ข.ดูหมายเลขในตัวเครื่อง
ค. ตรวจสอบการเชื่อมต่อ
ง. ตรวจสอบการเดินทางปขั้วปลายทาง

2. คำสั่ง ipconfig ในการตรวจสอบอะไร
ก. ค่าต่างๆในตัวเครื่อง
ข.ดูหมายเลขในตัวเครื่อง
ค. ตรวจสอบการเชื่อมต่อ
ง. ตรวจสอบการเดินทางปขั้วปลายทาง
3. คำสั่ง ART ใช้ในการตรวจสอบอะไร
ก. ค่าต่างๆในตัวเครื่อง
ข.ดูหมายเลขในตัวเครื่อง
ค. ตรวจสอบการเชื่อมต่อ
ง. ตรวจสอบการเดินทางปขั้วปลายทาง

4. คำสั่ง nslooknp
ก. ค่าต่างๆในตัวเครื่อง
ข.ดูหมายเลขในตัวเครื่อง
ค. ตรวจสอบการเชื่อมต่อ
ง. ตรวจสอบการเดินทางปขั้วปลายทาง

5. วิธีใช้คำสั่ง Ping มีวิธีการแบบใด
ก. start --- Run ---ms-Dos Prompt
ข. start---Programs---ms-Dos prompt
ค. Start---program---Run
ง. start---shutdown---ok

6. ถ้าต้องการตรวจสอบ Option ของ Ping ควรใช้คำสั่งแบบใด
ก. Ping ?
ข. Ping /?
ค. Ping/=
ง.Ping

7. วิธีการตรวจสอบคำสั่ง Ping ใช้โปรแกรมใด
ก.shert
ข. Dos
ค. Run
ง. controipanal

8. คำสั่ง neststat ใช้ในการตรวจสอบอะไร
ก. ค่าต่างๆในตัวเครื่อง
ข.ดูหมายเลขในตัวเครื่อง
ค. ดูแลสถิติในระบบ
ง.ตรวจสอบขั้วปลายทาง

9. คำสั่งอื่นๆที่น่าสนใจคือคำสั่งอะไร
ก. Cast
ข. grat
ค. ipconfig/all
ง.Ping /?
10. คำสั่งในการตรวจซ่อมทั้งหมดมีกี่คำสั่ง
ก. 5
ข. 6
ค. 7
ง. 8

เฉลย

Ethernet

Ethernet
ความหมายของIEEE 802.3IEEE 802.3 หรือ อีเทอร์เน็ต (Ethernet) เป็นเครือข่ายที่มีความเร็วสูงการส่งข้อมูล 10 เมกะบิตต่อวินาทีสถานีในเครือข่ายอาจมีโทโปโลยีแบบัสหรือแบบดาว IEEE ได้กำหนดมาตรฐานอีเทอร์เน็ตซึ่งทำงานที่ความเร็ว 10 เมกะบิตต่อวินาทีไว้หลายประเภทตามชนิดสายสัญญาณเช่น• 10Base5 อีเทอร์เน็ตโทโปโลยีแบบบัสซึ่งใช้สายโคแอกเชียลแบบหนา (Thick Ethernet)ความยาวของสายในเซกเมนต์หนึ่ง ๆ ไม่เกิน 500 เมตร• 10Base2 อีเทอร์เน็ตโทโปโลยีแบบบัสซึ่งใช้สายโคแอ๊กเชียลแบบบาง (Thin Ethernet) ความยาวของสายในเซกเมนต์หนึ่ง ๆ ไม่เกิน 185 เมตร• 10BaseT อีเทอร์เน็ตโทโปโลยีแบบดาวซึ่งใช้ฮับเป็นศูนย์กลาง สถานีและฮับเชื่อมด้วยสายยูทีพี (Unshield Twisted Pair) ด้วยความยาวไม่เกิน 100 เมตรรูปที่ข้างล่าง แสดงถึงลักษณะเครือข่ายอีเทอร์เน็ตแยกตามประเภทของสายสัญญาณ รหัสขึ้นต้นด้วย 10 หมายถึงความเร็วสายสัญญาณ 10 เมกะบิตต่อวินาทีคำว่า “Base” หมายถึงสัญญาณชนิด “Base” รหัสถัดมาหากเป็นตัวเลขหมายถึงความยาวสายต่อเซกเมนต์ในหน่วยหนึ่งร้อยเมตร (5=500, 2 แทนค่า 185) หากเป็นอักษรจะหมายถึงชนิดของสาย เช่น T คือ Twisted pair หรือ F คือ Fiber opticsส่วนมาตรฐานอีเทอร์เน็ตความเร็ว 100 เมกกะบิตต่อวินาทีที่นิยมใช้ในปัจจุบันได้แก่100BaseTX และ 100BaseFX สำหรับอีเทอร์เน็ตความเร็วสูงแบบกิกะบิตอีเทอร์เน็ตเริ่มแพร่หลายมากขึ้น ตัวอย่างของมาตรฐานกิกะบิตอีเทอร์เน็ตในปัจจุบันได้แก่ 100BaseT, 100BaseLX และ 100BaseSX เป็นต้น อีเทอร์เน็ตใช้โปรโตคอล ซีเอสเอ็มเอ/ซีดี (CSMA/CD : Carrier Sense Multiple Access with Collision Detection) เป็นตัวกำหนดขั้นตอนให้สถานีเข้าครอบครองสายสัญญาณ ในขณะเวลาหนึ่งจะมีเพียงสถานีเดียวที่เข้าครองสายสัญญาณเพื่อส่งข้อมูลสถานีที่ต้องการส่งข้อมูลต้องการตรวจสอบสายสัญญาณว่ามีสถานีอื่นใช้สายอยู่หรือไม่ ถ้าสายสัญญาณว่างก็ส่งข้อมูลได้ทันที หากไม่ว่างก็ต้องคอยจนกว่าสายสัญญาณว่างจึงจะส่งข้อมูลได้ ขณะที่สถานีหนึ่ง ๆ กำลังส่งข้อมูลก็ต้องตรวจสอบสายสัญญาณไปพร้อมกันด้วยเพื่อตรวจว่าในจังหวะเวลาที่ใกล้เคียงกันนั้นมีสถานีอื่นซึ่งพบสายสัญญาณว่างและส่งข้อมูลมาหรือไม่ หากเกิดกรณีเช่นนี้ขึ้นแล้ว ข้อมูลจากทั้งสองสถานีจะผสมกันหรือเรียกว่า การชนกัน (Collision) และนำไปใช้ไม่ได้ สถานีจะต้องหยุดส่งและสุ่มหาเวลาเพื่อเข้าใช้สายสัญญาณใหม่ ในเครือข่ายอีเทอร์เน็ตที่มีสถานีจำนวนมากมักพบว่าการทานจะล่าช้าเพราะแต่ละสถานีพยายามยึดช่องสัญญาณเพื่อส่งข้อมูลและเกิดการชนกันเกือบตลอดเวลา โดยไม่สามารถกำหนดว่าสถานีใดจะได้ใช้สายสัญญาณเมื่อเวลาใด อีเทอร์เน็ตจึงไม่มีเหมาะกับการใช้งานในระบบจริง

2.10 Base 210 Base 2 เป็นรูปแบบต่อสายโดยใช้สาย Coaxialมีเส้นศูนย์กลาง 1/4 นิ้ว เรียกว่า Thin Coaxial สายจะมีความยาวไม่เกิน 180 เมตรมาตรฐาน 10 Base 2 ความหมาย 10 คือความเร็วในการส่งข้อมูล 10 Mbps Baseคือการส่งข้อมูลแบบ Baseband 2 คือความยาวสูงสุด 200 เมตร (185 – 200 เมตร ) 10 Base 2 เป็นแบบเครือข่ายที่ใช้สาย Coaxial แบบบาง (Thin Coaxial) ชนิด RG-58 A/U โดยจะมี Teminator (50 โอมห์ ) เป็นตัวปิดหัว และท้ายของเครือข่ายข้อกำหนดของ 10 Base 2• ใช้สาย Thin Coaxial ชนิด RG-58 A/U• หัวที่ใช้ต่อกับสายคือ หัว BNC• ห้ามต่อหัว BNC เข้ากับ LAN Card โดยตรง ต้องต่อด้วย T-Connector เท่านั้น• เครื่องตัวแรกและตัวสุดท้ายในเครือข่าย ต้องปิดด้วย Terminator ขนาด 50 โอมห์• ความยาวของสายแต่ละเส้นที่ต่อระหว่าง Workstation ต้องมีความยาวไม่ต่ำกว่า 0.5 เมตร• สายสัญญาณต่อ 1 Segment ยาวไม่เกิน 200 เมตร (185 – 200 เมตร )• ใน 1 Segment สามารถต่อเป็นเครือข่ายได้ไม่เกิน 30 เครื่อง• ในกรณีที่ต้องการต่อมากกว่า 30 เครื่อง ต้องมีอุปกรณ์ที่เรียกว่า Repeater เพื่อเพิ่ม Segment โดยสามารถต่อ Repeater ได้ไม่เกิน 4 Repeater ( ดังนั้น 4 Repeater = 5 Segment)• ความยาวของสายสัญญาณทั้งหมด สูงสุด 1000 เมตร (200 เมตรต่อ 1 Segment คูณด้วย 5 Segment)• จำนวนเครื่องสูงสุดในเครือข่าย 150 เครื่อง (30 เครื่องต่อ 1 Segment คูณด้วย 5 Segment)3.

10 Base 5ความหมาย 10 คือความเร็วในการส่งข้อมูล 10 Mbps Base คือการส่งข้อมูลแบบ Baseband• คือความยาวสูงสุด 500 เมตร 10 Base 5 เป็นแบบเครือข่ายที่มีลักษณะคล้ายกับ 10 Base 2แต่จะใช้สาย Coaxial แบบหนา (Thick Coaxial หรือ Back Bone)เป็นสายชนิด RG-8 ซึ่งสายจะเป็นสีเหลืองและมีขนาดใหญ่โดย Teminator (50 โอมห์ ) เป็นตัวปิดหัวและท้ายของเครือข่าย เครือข่ายชนิด 10 Base 5 นี้ จะมีต่อจำนวนเครื่องได้มากกว่าและต่อในระยะได้ไกลกว่าแบบ 10 Base 2 แต่ในปัจจุบันมักไม่นิยมใช้กันเนื่องจากต้องใช้ค่าใช้จ่ายสูง อุปกรณ์ต่างๆ ที่ควรทราบ มีดังนี้แผงวงจรเครือข่าย (LAN Card) คือแผงวงจรเครือข่ายที่เสียบไว้กับตัวเครื่อง และเชื่อมต่อด้วยสายเพื่อต่อเป็นเครือข่ายโดยแผงวงจรเครือข่ายนี้จะมีหัวเสียบเป็นชนิด DIX Connector Socket ( LAN Card ) ชนิด AUIใช้กับมาตรฐาน 10 Base 5ข้อกำหนดของ 10 Base 5• ใช้สาย Thick Coaxial ชนิด RG-8• หัวที่ใช้ต่อกับสายคือหัว DIX หรือบางทีอาจจะเรียกว่า หัว AUI• เครื่องตัวแรกและตัวสุดท้ายในเครือข่ายต้องปิดด้วย N-Series Terminator ขนาด 50 โอมห์• ระยะห่างระหว่าง Transceiver ต้องไม่ต่ำกว่า 2.5 เมตร• Transceiver Cable จะมีความยาวได้ไม่เกิน 50 เมตร• ใน 1 Segment สามารถต่อเป็นเครือข่ายได้ไม่เกิน 100 เครื่อง• สายสัญญาณต่อ 1 Segment ยาวไม่เกิน 500 เมตร• ในกรณีที่ต้องการต่อมากกว่า 100 เครื่อง ต้องมีอุปกรณ์ที่เรียกว่า Repeaterเพื่อเพิ่มSegment โดยสามารถต่อ Repeater ได้ไม่เกิน 4 Repeater (ดังนั้น 4 Repeater = 5 Segment)• ความยาวของสายสัญญาณทั้งหมด สูงสุด 2,500 เมตร (500 เมตรต่อ 1 Segment คูณด้วย 5 Segment )• จำนวนเครื่องสูงสุดในเครือข่าย 500 เครื่อง (100 เครื่องต่อ Segment คูณด้วย 5 Segment )4.100 Base F100Base-Fสาย AMP OSP (Outside Plant) ถูกออกแบบมาเฉพาะเพื่อการติดตั้งในพื้นที่ขนาดใหญ่เพราะสามารถติดตั้งไว้บนเสาโยง หรือลอดท่อใต้ดิน เพื่อเชื่อมต่อระหว่างอาคาร สายถูกทดสอบตามมาตรฐาน TIA ซึ่งเป็นข้อกำหนดสำหรับสายไฟเบอร์ออปกติ ทั้งยังมีคุณสมบัติเกินมาตรฐานไปอีกขั้นจึงรองรับได้ทั้ง 100Base-F, 155/622 Mbps ATM และกิกะบิตอีเธอร์เน็ต5.100BASE-FX 100BASE-FX Multimode LC SFP Transceiver(P/N: DEM-211) มอบประสิทธิภาพการทำงานระดับสูงให้กับแอพพลิเคชันการสื่อสารข้อมูลแบบซีเรียลออพติคัลดาต้า นอกจากนั้นยังประกอบด้วยตัวเชื่อมต่อที่มีการทำงานแบบดูเพล็กซ์ LC รวมถึงยังสามารถใช้งานร่วมกับมาตรฐานการสื่อสารแบบ IEEE 802.3u เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพขึ้นเป็น 100 เมกะบิตต่อวินาที ในโหมดฮาฟดูเพล็กซ์สำหรับแอพพลิเคชันเคเบิลไฟเบอร์ทั้งนี้การอินทริเกรทตัวรับส่งคุณภาพสูงของดีลิงค์นั้นก็เพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้นปราศจากอาการกระตุกของสัญญาณ และเพื่อให้การเชื่อมต่อแบบออพติคัลสามารถขยายออกไปได้มากยิ่งขึ้นโดยไม่มีการลดประสิทธิภาพลง อุปกรณ์นี้จึงช่วยให้การถ่ายโอนข้อมูลในระยะสั้น ระยะกลาง และระยะทางที่ไกลๆ ทั้งในส่วนของการใช้งานภายในอาคาร โรงงาน แคมปัสและในตัวเมืองมีเสถียรภาพยิ่งขึ้น และเมื่อสวิตช์ 2 ตัวมีการเชื่อมต่อกันแล้วโดยใช้ตัวรับส่ง DEM-211 ทั้ง 2 ทาง ผู้ใช้งานจะได้รับอัตราเร็วของการเชื่อมต่อที่ระดับ 155 เมกะบิตต่อวินาที ยิ่งไปกว่านั้นยังได้มอบการเชื่อมต่อแบบไฟเบอร์ออพติค 100BASE-FX SFP บนพอร์ต Gigabit combo SFP ให้กับสวิตช์ของดีลิงค์อีกด้วย

ข้อสอบ Mark Bit

1. ถ้า subnet =2 ในclass a จะมี mask กี่ bit
ก. 4 bit
ข. 3 bit
ค. 2 bit
ง. 6 bit

2. ถ้า mask 7 bit class b มี host?
ก. 131070 host
ข. 131072 host
ค. 131073 host
ง. 1301047 host

3. mask 6 bit class c หมายเลข subnet mask?
ก. 255.255.255.255
ข. 255.255.255.252
ค. 255.192.0.0
ง. 225.252.225.252

4. 255.254..0.0 class b host?
ก. 131073
ข. 131075
ค. 131070
ง. 131071

5. subnet mask 255.192.0.0 อยู่ใน class?
ก. classb
ข. class c
ค. class a
ง. class a class c

6. mask 2 bit class a เลขฐาน 16 คือ
ก.11111111.11000000.00000000.00000000
ข.1111111.11111111.00000000.00000000
ค.11111111.00000000.00000000.00000000
ง. 11111111 .11111111.11111111.11111111

7. mask 2 bit ของclass a ได้กี่subnet
ก. 2^2=4-2=2
ข. 2^9=512-2=510
ค. 2^17=131072-2=131070
ง. 2^10=131270-2=13127

8. mask 6bit class b หมายเลข host?
ก . 2^9=512-2=510
ข . 2^18=262144-2=262142
ค . 2^17=131072-2=131070
ง. 2^18=131072-2=131070

9. mask 7bit ของ class b มีหมายเลข subnet mask คืออะไร
ก.255.255.255.255
ข. 255.254.0.0
ค. 255.255.0.0
ง . 255.255.250.0

10. mask 2bit class c หมายเลข subnet ?
ก. 2^2 =4-2=2
ข . 2^18=262144-2=262140
ค . 2^18=262144-2=262142
ง.2^18=261442=262144

เฉลย
1. ค
2. ก
3. ข
4. ค
5. ค
6. ก
7. ก
8. ข
9. ข
10. ก


ข้อสอบอัตนัย
1.Mark 2 bit ได้ Class A ได้กี่ subnet
= 2^2 = 4-2 = 2 subnet

2 .Mark 4 bit ได้ Class A ได้กี่ subnet
= 2^4 = 16-2 = 14 subnet

3 .Mark 5 bit ได้ Class A ได้กี่ subnet
= 2^5 = 32-2 = 30 subnet

4 .Mark 6 bit ได้ Class A ได้กี่ subnet
= 2^6 = 64-2 = 62 subnet

5 .Mark 7 bit ได้ Class A ได้กี่ subnet
= 2^7 = 128-2 = 126 subnet

6 .Mark 8 bit ได้ Class A ได้กี่ subnet
= 2^8 = 256-2 = 254 subnet

7. Mark 9 bit ได้ Class A ได้กี่ subnet
= 2^9 = 512-2 = 510 subnet

8 .Mark 10 bit ได้ Class A ได้กี่ subnet
= 2^10 = 1,024-2 = 1022 subnet

9 .Mark 11 bit ได้ Class A ได้กี่ subnet
= 2^11 = 2,048-2 = 2046 subnet

10 .Mark 12 bit ได้ Class A ได้กี่ subnet
= 2^12 = 4,096-2 = 4094 subnet